วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Review : เครื่องม้วนผมไฟฟ้า SUNDAY PRO (SUPER NANO TITANIUM HAIR CURLING PRO 5000) ขนาด 32 mm. + สอนม้วนผม

สวัสดีจ้าาา /\

          วันนี้มาพร้อมกับรีวิวชิ้นที่ 3 นั่นก็คือ ... รีวิวเครื่องม้วนผมไฟฟ้า ยี่ห้อ 'ซันเดย์' รุ่น โปร 5000 รวมถึงจะมาสอนสาวๆ ถึง 'How to ม้วนผมอย่างไรให้ลอนดูเป็นธรรมชาติ' ด้วยนะคะ ใครบอกว่ายาก ไม่จริ๊งไม่จริง ขอบอกว่าง่ายมากๆ เลยล่ะ :)


ไปดูรายละเอียดเจ้า
เครื่องม้วนผมไฟฟ้ากันก่อนดีกว่า


ยี่ห้อ   :   ซันเดย์ (SUNDAY)
ชื่อรุ่น :   โปร 5000 (PRO 5000)
ขนาด :   32 มม.
ซื้อที่  :   Big C
ราคา  :   ประมาณ 2000 ต้นๆ ค่ะ (บางคนก็ซื้อได้ถูกมาก ตามเว็บ ตามห้างที่กำลังจัดโปรโมชั่น แต่คือ                   รอไม่ไหว  Leshsha ก็ไม่มี เลยจัดเครื่องนี้มาค่ะ)
รายละเอียด : 
- ควบคุมด้วยระบบดิจิตอล
- มีปุ่มปรับ(เพิ่ม/ลด)ความร้อน (สูงสุดถึง 210 องศาเซลเซียส)
- แกนม้วนผมเคลือบด้วย Super Nano Titanium ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง มีคุณสมบัติช่วยถนอมเส้นผม       ช่วยให้ลอนผมเงางาม กระจายความร้อนได้ดี 
- มีขาตั้งโลหะที่ตัวแกนม้วนผม 
- รับประกัน 1 ปี มี มอก.
ความพอใจ  :  9/10 ค่ะ อีก 1 คะแนนขอเก็บไว้ก่อน เพราะตอบไม่ได้ว่ามันดีที่สุดหรือเปล่า เนื่องจากไม่เคยใช้ตัวอื่นเลย เครื่องนี้เป็นเครื่องแรก เป็นลูกรักที่มีอยู่ตัวเดียวค่ะ 555 ใช้มา 1 ปีกว่าๆ แล้ว  (หมดประกันเรียบร้อย TT) ไม่มีพัง ไม่มีเสีย ที่จับแอบลอกบ้างไรบ้าง เพราะใช้มันเกือบทุกวันเลย เท่าที่สังเกตคือ ไม่ค่อยเห็นใครใช้ยี่ห้อนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะใช้ Lesasha กันมากกว่า (ถ้ามีโอกาสต้องขอลองบ้าง 555)   โดยส่วนตัวเราคิดว่า เจ้าตัวนี้ดีมาก คุ้มค่าราคา ถ้าถามว่าผมเสียไหม? ต้องบอกตรงๆว่า ผมน่ะเสียอยู่แล้วค่ะ ไม่ว่ายี่ห้อไหนผมก็เสียนะ เพราะผมคนเราโดนความร้อน มันก็ต้องเสียบ้างเป็นธรรมดาค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเสียมากหรือเสียน้อย มีสารป้องกันหรือเปล่า/เราดูแลดีแค่ไหน มากกว่าค่ะ  ตัวนี้มีสารช่วยถนอมเส้นผม เราก็จะมั่นใจได้ในระดับนึงว่าผมเราจะไม่เสีย (ไปมากกว่านี้)
อยากเล่า : ก่อนหน้านี้เคยไปดัดผมถาวรมาค่ะ แต่ไม่ได้ดัดแบบดิจิตอล ผมเลยเสียมากกกกก จากที่เคยเป็นคนผมสวย ผมกลับฟูสุดๆ แถมแตกปลายด้วย (พบว่ามันไม่ได้แตกแค่ 2 แฉกนะคะคุณผู้โชมมมม มันแตกกิ่งก้านสาขาปานว่ากิ่งไม้ ฉีกเล่นก็มันส์มือกันไป -.,-) เราเสียความมั่นใจไปพักนึงเลยค่ะ ก็เลยตัดออกบ้าง แต่ก็ยังไม่หมด บริเวณปลายๆ ยังเสียอยู่ แล้วก็ยังมีเชื้อดัดอยู่เล็กน้อย + แถมทำสีผมด้วย แต่คิดว่าเป็นเพราะมันโดนความร้อนบ่อยๆมากกว่าค่ะ เพื่อนๆก็ระวังกันด้วยนะคะถ้าจะดัดผมถาวร หาข้อมูลดีดี แล้วก็อย่าลืมดูแลผมด้วยนะ ผมเนี่ยเป็นส่วนสำคัญสำหรับผู้หญิงอย่างเราๆ มากเลยล่ะ :)

จบการเวิ่นเว้อ ขออภัยค่ะ 555 
เดี๋ยวไปดูรีวิวเครื่องม้วนผมไฟฟ้าตัวนี้ แล้วก็วิธีม้วนผม กันดีกว่าค่ะ


หน้าตากล่องใส่เครื่องม้วนผมไฟฟ้าก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ




  บริเวณข้างๆกล่อง จะบอกคุณสมบัติต่างๆ ให้เราทราบค่ะ 



 ในกล่องก็จะมีคำแนะนำเป็นภาษาอังกฤษ + ใบรับประกันสินค้า ค่ะ



 เผื่อใครอยากอ่านเนอะ 555 



ขนาดพอดีมือ จับได้ถนัดค่ะ



                                              ปุ่มซ้าย   - ลดอุณหภูมิ (ทีละ 5 องศาเซลเซียส)
                                              ปุ่มกลาง - เปิด/ปิด
                                              ปุ่มขวา   - เพิ่มอุณหภูมิ (ทีละ 5 องศาเซลเซียส)

*********************************************************

How to ม้วนผมอย่างไรให้ลอนดูเป็นธรรมชาติ


          ต่อไปเราจะมาสอนเพื่อนๆ ถึงวิธีม้วนผมให้ดูเป็นธรรมชาติ ดูไม่หลอก ไม่เป๊ะเว่อร์จนเกินไปประมาณว่าเป็นลอนแค่บริเวณปลายๆ ให้ผมดูมีวอลลุ่มนิดนึงพอให้ออกไปข้างนอกแบบสวยๆแต่ไม่เว่อร์ 5555 (แอบมโน) เราไม่ชอบลอนแน่นๆเท่าไหร่ เพราะทุกวันนี้หนังหน้าก็ทรยศอายุไปไม่น้อย =.,= แต่จะให้ใช้ชีวิตแบบผมตรงก็มิอาจค่ะ มันไม่ชิน 555 :)  รีวิว How to ของเราครั้งนี้ กลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์การม้วนผมของเราตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมาล้วนๆเลยนะคะ 555 ซึ่งต้องขอบอกก่อนว่า วิธีที่เราจะรีวิวนี้ เป็นวิธีที่ง่ายสำหรับเราเองเน้อ ฝีมือเราอาจจะไม่ได้โปรมาก แต่ก็ถือว่ามาสอนให้กับมือใหม่หัดม้วนแล้วกันนะคะ :) 


มาดู Before & After กันค่ะ

(เรามีการปรับสี ปรับความคมชัดของภาพด้วย Photoshop นะคะ ฉะนั้นสีผมอาจไม่เท่ากันทุกรูป รวมถึงผมจะดูแข็งๆ นั่นเพราะเราปรับให้ภาพมันคมๆ นั่นเองค่า)
ผมตรงๆ ทื่อๆ ยาวประมาณกลางหลังค่ะ (โปรดอย่าให้ความสนใจเรื่องผมเสียเพราะการดัดถาวรที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ 555) 



นี่คือผ่านการม้วนมาเรียบร้อยแล้ววว :) รูปแรกยังไม่ค่อยได้สางผม เลยยังเป็นก้อนๆอยู่ แต่พอสางออกแล้วก็จะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ (แอบมีเวอร์ชั่นรวบผม 555)


ขั้นตอนการม้วนผมด้วยเครื่องม้วนผมไฟฟ้า

สำคัญ : ก่อนการม้วนหรือหนีบผม ควรบำรุงผมหรือใช้สเปรย์ป้องกันความร้อนก่อนทุกครั้งค่ะ

1. กดเปิดก่อนค่ะ 555 กดปุ่มตรงกลางค้างไว้สัก 2-3 วินาที เครื่องก็จะเริ่มทำงาน ปรับอุณหภูมิไปที่ 180 องศาเซลเซียส (ขึ้้นอยู่กับผมแต่ละคนนะคะ บางทีเราก็ใช้ 190 องศาเซลเซียส เพื่อให้ลอนผมอยู่นานขึ้น ต้องลองทดสอบกับตัวเองค่ะ ว่าผมเราเหมาะกับอุณหภูมิเท่าไหร่) แล้วก็ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แกนม้วนผมก็จะร้อน พร้อมใช้งานแล้วค่ะ ระวังโดนมือโดนขานะคะ มันร้อนมากจริงๆ 



2. แบ่งผมออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งละเท่าๆกัน  ผมเราไม่ได้หนามาก ฉะนั้น ไม่ต้องหนีบผมขึ้นเป็นชั้นๆ ก็ได้ การแบ่งผมออกเป็น 2 ฝั่งจึงเพียงพอค่ะ (ผมดูกรอบเกินป๊ายยยยยย =________=' Let it go, let it goooo)



3. หวีผมทั้งสองฝั่งให้เรียบค่ะ (เราจะม้วนทีละฝั่งนะ) 



4. จับผมออกมา 1 ช่อ ไม่ต้องหนามาก แต่ก็ไม่ต้องบางจนเกินไป เพราะแกนม้วนผมจะหนีบผมไม่อยู่ โดยเราจะเริ่มทำจากช่อที่อยู่ข้างหลังก่อนนะ 



5. เอาแกนม้วนผมมาหนีบช่อผมไว้ (เราจะม้วนเข้านะคะ เพราะทรงผมจะช่วยปิดหน้า ให้หน้าเล็กลงค่ะ 555 อันนี้ตามใจชอบเลยว่าจะม้วนเข้าหรือม้วนออก หรือจะม้วนสลับก็ยังได้)



6. เลื่อนแกนม้วนผมมาให้สุดปลายเส้นผม



7. ม้วนๆเข้ามาโลด ถ้าต้องการให้เป็นลอนแค่ปลายผม ก็ม้วนไม่ต้องสูงมาก เอาแค่ปลายๆผมตามรูปเลย แต่ถ้าอยากให้เป็นลอนทั้งหัว ก็ม้วนสูงๆได้เลยค่ะ  จากนั้นค้างไว้ประมาณ 30 วินาที (นับ 1-30 ก็ได้ค่ะ) แล้วเอาแกนม้วนผมออก



8. พอเอาแกนออก ก็จะได้ลอนผมแบบนี้ค่ะ ให้พาดช่อนี้ไปไว้ข้างหลังก่อน จะได้ไม่มาปนกับผมที่ยังไม่ได้ม้วน แล้วค่อยๆทำแบบนี้ให้ครบทุกช่อ และให้ครบทั้ง 2 ฝั่งเลยค่ะ 



9. อันนี้เป็นข้อแนะนำนะคะ กรณีผมข้างหน้าสั้นกว่าทุกส่วน ให้ม้วนผมส่วนนี้ให้เป็นโค้งๆ เพื่อเป็นกรอบหน้าก็พอค่ะ เพราะถ้าจะให้เป็นลอนๆข้างๆแก้มก็กระไรอยู่ ตรงนี้จะช่วยบดบังความกว้างของหน้าได้ค่ะ หน้าจะดูเล็กลงเพราะผมบัง 5555 แต่ถ้าผมยาวเสมอกัน จะม้วนเป็นลอนๆเลยก็ได้ (ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนค่ะ)



10. พอทำครบทุกช่อแล้ว ก็จะได้ลอนผมแบบนี้ค่ะ นี่คือยังไม่ได้สางนะคะ ถ้าใครชอบให้เป็นลอนเบาๆ ก็สางออกเลยค่ะ จะได้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ส่วนใครที่ต้องการให้ผมอยู่ทรงนานขึ้น ก็ใช้สเปรย์หรือไม่ก็มูส มีให้เลือกหลายสูตรตามความชอบเลยค่ะ





และนี่ก็คือผลลัพธ์ของเราาาาาา ฮุฮุ



จบแล้วสำหรับการรีวิวในครั้งเน้ >.< เฮ้อเหนื่อย 555
ครั้งหน้าเดี๋ยวไว้จะมาทำ How to ม้วนผมหลายๆแบบหลายๆทรง ให้ชมกันนะคะ
ไปแล้ววว สวัสดีค่าาา :)


ปล. เราเป็นมือใหม่หัดรีวิว ถ้าหากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ ขอบคุณทุกคำติชมค่ะ

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Review : บาลิออส รีสอร์ท เขาใหญ่ (Balios Resort Khaoyai)


สวัสดีค่ะ ทุกคนนนนน /\


          วันนี้เรามาพร้อมกับรีวิวชิ้นที่ 2 .. นั่นก็คือ รีวิวที่พักที่เขาใหญ่นั่นเอง  เนื่องจากช่วงซัมเมอร์ เราและครอบครัวได้มีโอกาสจัดทริปเล็กๆไปเที่ยวกันที่ 'ปาลิโอ' เขาใหญ่ค่ะ  เราไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า กะไว้ว่าไปถึงก็ค่อยตระเวนหาเอาก็แล้วกัน  จะบอกว่าที่พัก โรงแรม รีสอร์ท มีเยอะมาก ตั้งอยู่ติดๆกันเลยทีเดียว นับว่าสะดวกสบายในเข้าไปจับจองค่ะ
          เราได้ที่พักที่อยู่ติดกับ ปาลิโอ เลยค่ะ ชื่อว่า "บาลิออส รีสอร์ท เขาใหญ่" ต้องบอกว่าที่พักสวยถูกใจเรามากค่ะ พอเดินออกมาจากปาลิโอแล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะถึง บาลิออสรีสอร์ท เลย ใกล้มาก สะดวกสบายค่ะ ห้องพักที่เราและครอบครัวจองนั้นเป็นแบบ Standard  ราคาตอนจองอยู่ที่ 3000 บาทต่อคืน (ไม่ทราบว่าราคาจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงหรือเปล่านะคะ) พักได้ห้องละ 2 คน ค่ะ  เราไปกัน 5 คน (เด็ก 1 คน) เลยจอง 2 ห้อง แต่ละห้องมีประตูเชื่อมหากันด้วย ชอบตรงนี้ มันให้ความรู้สึกแบบอยู่ห้องเดียวกันทั้ง 5 คน อิอิ :) ส่วนพนักงานต้อนรับ เจ้าหน้าที่ทุกคน น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใสมากค่ะ :)  อ้อ จะมีบัตรรับประทานอาหารเช้าให้ห้องละ 2 ท่าน ส่วนถ้ามีเด็ก ถ้าจะทานด้วยก็จ่ายเพิ่มกันไปจ้า (ในที่นี้เราไม่ได้ถ่ายรูปบริเวณห้องรับประทานอาหารมาน้า)

มาชมภาพปลากรอบกันดีกว่าค่ะ  เดี๋ยวบรรยายใต้ภาพไปด้วยเลยแล้วกันเนอะ :)




ภาพนี้เป็นบริเวณหน้ารีสอร์ทที่ให้รถขับเข้ามาจอดสอบถามได้ค่ะ เพราะจะใกล้ล็อบบี้แล้วก็มีพี่ รปภ นั่งอยู่แถวนั้นค่ะ ถ้ามองออกไปจากตรงนี้ ก็จะมองเห็นเขา เห็นต้นไม้เลยค่ะ ประตูนี้เหล็กนี้คล้ายๆว่ามีไว้เพื่อประดับประดามากกว่า สวยอ่ะ ชอบสไตล์นี้จัง :)


ในบริเวณรีสอร์ทก็จะมีโต๊ะไม้ให้นั่งเล่น ถ่ายรูปกันไป ขอแอบติดรูปเรากับน้องมาด้วย ไม่ว่ากันนะคะ 555



มาดูในห้องกันบ้างเนอะ :) พอเราเปิดประตูเข้ามาปุ้บ ห้องน้ำก็จะอยู่ทางขวามือ ส่วนพวกตู้เสื้อผ้า ตู้เย็นจะอยู่ทางซ้ายมือ  ไม่รอช้า จัดการเสียบคีย์การ์ด ไฟมา แอร์เย็นค่ะ 555



ในตู้เสื้อผ้าก็จะมีไม้แขวนเสื้อ สลิปเปอร์ ของทั่วๆไปค่ะ



มีโต๊ะข้างๆตู้เสื้อผ้า เอาไว้วางของ :)



บนตู้เย็นจะเป็นชา กาแฟ กาน้ำร้อน พวกชา กาแฟนี้ทานฟรีค่ะ ส่วนพวกขนมถ้าจะทานก็เสียตังค์กันไป 
จะมีใบสีเหลืองๆไว้ให้ดูว่าอะไร ราคาเท่าไหร่



ห้องนี้เป็นเตียงเดี่ยว เตียงนุ่ม นอนสบายค่ะ โรงแรมทั่วไปเท่าที่สัมผัสมาจะให้หมอน 2 ใบ ยกเว้นว่าขอเช่าเพิ่ม แต่นี่ นางมีหมอนมาให้ 4 ใบจ้า สบายกันไป ทั้งหนุน ทั้งกอด เต็มที่ค่ะ 555



ส่วนอีกห้องหนึ่งที่เราจอง เป็นเตียงคู่ค่ะ สังเกตว่าจะมีประตูเชื่อมด้วย แอบชอบนะ ให้ความรู้สึกอบอุ่นอะไรประมาณนั้น อิอิ (แต่ถ้าจองห้องเดียว ประตูเชื่อมก็จะถูกล็อคทั้งสองด้าน)



ประเด็นคือเราชอบนาฬิกาตรงโต๊ะหัวเตียงค่ะ มันคลาสิคอ่ะ นางเลยมาเป็นแบบให้ทั้งที่ไม่ได้ขอร้อง 555



ตรงปลายเตียงก็จะมีทีวี ปลั๊กไฟ โต๊ะ เก้าอี้ กระจก โคมไฟ กล่องทิชชูฯ เหมือนโรงแรม รีสอร์ททั่วๆไปค่ะ แต่เรารู้สึกชอบสไตล์การตกแต่ง การจัดวางมากๆอ่ะ รู้สึกไม่เยอะไป ดูเรียบหรูดูดีมีสไตล์ 555



มีชุดคลุมอาบน้ำ ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัวให้ค่ะ ถามว่าได้ใช้ชุดคลุมอาบน้ำมั้ย ก็ไม่หรอกค่ะ แขวนไว้ที่เดิม 555



มีโซฟาเล็กๆให้นั่งจิบชากาแฟค่ะ 




ทางรีสอร์ทก็จะมีซองกระดาษใส่รหัส Wifi ไว้ให้ พร้อมกับเขียนเลขห้องไว้หน้าซอง ข้างในก็จะเป็นกระดาษเล็กๆที่มีรหัสเหมือนๆกัน 3 แผ่น (เผื่อว่าหายไรงี้) เราแอบชอบซองอ่ะแก คือสวยอ่ะ 555



มีระเบียงอยู่ข้างนอกห้องด้วยค่ะ พอให้ได้ออกไปสูดอากาศสดชื่น 555 



ตรงระเบียงก็จะมีโต๊ะ เก้าอี้ เอาไว้นั่งเล่น จิบชา กาแฟกันไป คิดว่างั้นนะคะ 555 ตอนเช้าๆ อากาศก็คงโอเค แต่ตอนกลางวันนี่ไม่ไหวค่ะ ประหนึ่งว่าอยู่ในเตาอบ ฉะนั้น ห้องแอร์คือสวรรค์ดีๆนี่เอง :)



 มองออกไปนอกระเบียงก็จะมีต้นไม้ ดูร่มรื่นดีค่ะ แล้วก็มีสระว่ายน้ำ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูกัน T^T


เกือบลืมห้องน้ำแน่ะ =.,= นี่เป็นบริเวณอ่างล้างมือค่ะ น้ำกระเซ็นเลอะไปนิดดด



ดูกันชัดๆอีกที 555 ก๊อกน้ำมีทั้งน้ำอุ่น น้ำเย็น ให้เลือกค่ะ อยากร้อนก็หมุนร้อน อยากเย็นก็หมุนเย็น 



อุปกรณ์อาบน้ำทั้งหลาย มีทั้งสบู่ ยาสระผม โลชั่นทาผิว หมวกคลุมอาบน้ำ คอตตอนบัต คือนางน่ารักมากอ่ะ แอบเก็บกลับบ้านด่วน  555



มีไดร์เป่าผม แก้วน้ำสำหรับล้างหน้าแปรงฟันค่ะ



 ส่วนชักโครกก็ดูสะอาดสะอ้าน ใช้ได้ค่ะ




นี่ก็ฝักบัวอาบน้ำค่ะ มีทั้งน้ำอุ่นและน้ำเย็นเหมือนเดิม ข้อควรระวังสำหรับน้ำอุ่นคือ ต้องยั้งมือนิดนึง คือหมุนไปนิดเดียว นางจะร้อนมาก เสมือนอยู่ท่ามกลางบ่อน้ำพุร้อนก็ไม่ปาน  



          จบแล้ว สำหรับการรีวิวรีสอร์ทบาลิออสนะคะ รวมๆแล้วเราพอใจที่นี่พอสมควรเลยล่ะ ใครไปเที่ยวแถวนั้นก็อย่าลืมเอาที่นี่ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกนะคะ นี่ไม่ได้ค่าโฆษณาอะไร คือดีก็บอกต่อ 5555
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับนักเดินทางทั้งหลายนะคะ สวัสดีค่ะ 



วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Review : Sleek Makeup - I Divine Eyeshadow Palette (Original)


สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ นี่เป็นโพสต์แรกของเราเลยยยย ตื่นเต้น ตื่นเต้น >.<
วันนี้จะมารีวิวอายแชโดว์พาเลท ของ Sleek Makeup นะคะ สาวๆคงรู้จักกันดี
Eyeshadow ที่จะมารีวิววันนี้เป็นสี Original นะคะ
เป็นเครื่องสำอางค์ชิ้นแรกๆที่ซื้อ ไม่รู้จะซื้อสีอะไรดี เลยเลือกสีนี้ คึคึ :D 

 ไปดูภาพกันก่อนนนน





 ขอบคุณรูปจาก www.nyxsleek.com และ กูเกิล นะคะ
(รูปจริงของตัวเอง ซื้อมานาน สภาพเยินมาก 555)
 

มาดูรายละเอียดเจ้าตัวนี้กันก่อนนะคะว่าได้แต่ใดมา..
 

ชื่อ       : Sleek Makeup - I Divine Eyeshadow Palette (สี Original)
ซื้อจาก : www.nyxsleek.com (เชื่อถือได้ล้านเปอร์เซ็นต์เลยย แล้วแพ็คของดีมากๆค่ะ)
ราคา    : 300 บาท (ซื้อแบบ Tester/Refill ค่ะ ราคาจึงถูก ซึ่งเหมือนกับตัวจริงทุกประการ
              เพียงแต่ไม่มีกล่องใส่มาให้เท่านั้นเอง งบน้อย จึงต้องสอยแบบนี้มา)
  
 ...

เป็นไงบ้างงง หน้าตาน่าใช้มั้ยล่ะ :D
พาเลทจะเป็นแบบในรูปเลยค่ะ มีอายแชโดว์ 12 สี
มีกระจกซึ่งชัดมากๆ แถมติดมากับพาเลทสีดำ
ซึ่งใช้จริงๆแค่ 3-4 สี 5555 แล้วแต่คนอ่ะเนอะ >.<
เดี๋ยวไปดูกัน ว่าคุณสมบัติเจ้าอายแชโดว์ชิ้นนี้เป็นยังไงบ้าง

...


ภายนอก  : ตัวพาเลทสวยดีนะ แต่ถ้าใช้ไปนานๆ สีดำของตัวพาเลทจะหม่นลง เปื้อนฝุ่นง่าย ถ้ารักษา
                 ไม่ดี พาเลทส่วนบนกับล่างจะทำการแยกตัวออกจากกัน ต้องใช้ยางรัด 5555 ชอบตรงที่
                 กระจกมันชัดแจ๋วมาก
 
ภายใน     : จะมีอายแชโดว์ 12 สี อย่างที่ได้บอกไปแล้ว แต่ละสีจะผสมชริมเมอร์ มันก็จะวิ้งๆ ปิ๊งๆ 
                 เวลาเราทาลงบนเปลือกตาแอบมีบางสีมันจะหลุดแตกออกมาจากหลุม โชคดีหน่อยที่เป็น
                 สีที่ไม่ได้ใช้ รวมถึงฝุ่นของอายแชโดว์แต่ละสีจะเลอะตลับง่ายมาก ถ้าไม่เช็ดบ่อยๆนะคะ 
                 + มีอุปกรณ์ทาเปลือกตา 2 หัวมาให้ใช้ด้วยค่ะ เป็นหัวฟองน้ำ สามารถใช้แทนแปรงที่ทำ
                 จากขนได้ดีในระดับนึงค่ะ

คุณภาพสี :
สีชัดเจนดีนะคะ ถามว่าติดทนนานมั้ย ? ระดับนึงค่ะ ถ้าไม่ใช้ eye primer หรือ 
                 eyeshadow base ช่วย ยี่ห้อไหนก็หลุดค่ะ แล้วถ้าทาไปซักพัก จะเป็นรอบพับที่เปลือกตา
                 ด้วยน้า ทางที่ดี สาวๆอย่าลืมลง eye primer หรือ eyeshadow base ก่อนที่จะทาสีสันลง
                 บนเปลือกตานะคะ

คุ้มไหม?  :
คุ้มนะคะ ถ้าเทียบกับราคา และความทนทานที่มันอยู่กับเรามาแล้ว 1 ปี มันยังไม่หมด และ
                ยังใช้งานได้ดี แม้สภาพจะเยิน 5555  เหมาะกับคนที่เพิ่งหัดซื้อเครื่องสำอาง หัดแต่งหน้า 
                เพราะราคาไม่แพงเลย และใช้งานได้ดีด้วยค่าาา


......


วันนี้ก็หมดแล้วน้า สำหรับการรีวิว Eyeshadow ของ Sleek Makeup
ใครมีอะไรถามได้น้าา ไว้จะมารีวิวพวก Eyeshadow base / Lipstick/ เซทแปรงแต่งหน้า ฯ ในคราวต่อๆไปน้า
<3